ปฏิเสธไม่ได้ว่าวิกฤต COVID-19 ที่เกิดขึ้น ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและภาคธุรกิจต่าง ๆ ในวงกว้าง อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งอุตสาหกรรมอาหารก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ถูก disrupt จากวิกฤตครั้งนี้ ทั้งจากปัญหา supply chain disruption ในช่วงมาตรการ lockdown รวมไปถึงพฤติกรรมและความต้องการของ
ผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป

 

คำถามสำคัญต่อจากนี้คือ อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในยุค new normal หลัง COVID-19 จะมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด และภาคธุรกิจจะต้องปรับตัวเพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนไปอย่างไร ซึ่งเรามองว่ามีความท้าทายสำคัญ และโจทย์ใหญ่ 3 เรื่อง ดังนี้…

 

ประการแรก วิกฤตครั้งนี้ได้กลายเป็น trigger point สำคัญ ซึ่งทำให้ผู้บริโภคหันมาตื่นตัวและใส่ใจในเรื่องสุขอนามัยในชีวิตประจำวัน รวมทั้งพิถีพิถันในเรื่องอาหารการกินต่าง ๆ มากขึ้น ซึ่งกระแสดังกล่าวส่งผลให้ประเด็นเรื่อง “food safety and transparency” จะยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ และกลายเป็นหัวใจสำคัญที่ผู้ประกอบการในธุรกิจอาหารจะละเลยไม่ได้

 

ดังนั้น กระบวนการผลิตอาหารจะต้องมีความปลอดภัยในทุกขั้นตอนตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ยิ่งไปกว่านั้นข้อมูลทุกอย่างจะต้องโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ด้วย ซึ่งนอกเหนือไปจากการยกระดับมาตรฐานด้านการเกษตรและการผลิตแล้ว หนึ่งในตัวช่วยสำคัญที่ผู้เล่นในอุตสาหกรรมเริ่มนำมาใช้กันมากขึ้นในปัจจุบัน คือ blockchain technology ซึ่งเป็นระบบจัดการด้านข้อมูลที่ตอบโจทย์ ในเรื่องการตรวจสอบย้อนกลับตลอดห่วงโซ่อุปทานการผลิตอาหารได้เป็นอย่างดี

 

เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยในการจัดเก็บ บันทึก และส่งต่อข้อมูลต่าง ๆ จากผู้ที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่การผลิตอาหารทุกกิจกรรมแบบ real time โดยข้อมูลเหล่านี้จะถูกจัดเก็บไว้ในระบบ blockchain ที่มีความปลอดภัยสูง ซึ่งบุคคลอื่นไม่สามารถเข้าไปแก้ไขหรือลบข้อมูลที่มีอยู่แล้วได้

 

ยิ่งกว่านั้น ผู้บริโภคยังสามารถติดตามตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาและการเดินทางของอาหาร โดยใช้ QR code เป็นสื่อกลางในการเข้าถึงฐานข้อมูลดังกล่าว เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์อาหารนั้นมีคุณภาพและปลอดภัยสำหรับบริโภคอย่างแท้จริง

 

ประการต่อมา ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มทางเลือกโดยเฉพาะเนื้อสัตว์ทดแทน (alternative meats) มีแนวโน้มที่จะได้รับความนิยมสูงขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากการบริโภคเนื้อสัตว์ และแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการทำฟาร์มปศุสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์อาหารทางเลือกจากพืช (plant-based foods) โดยเฉพาะถั่ว เห็ด สาหร่าย ซึ่งให้โปรตีนสูง รวมถึงผลิตภัณฑ์นมที่ทำจากพืช (plant-based milk) เช่น ข้าวโอ๊ต หรืออัลมอนด์

 

พบว่าปัจจุบันเริ่มมีผลิตภัณฑ์ทางเลือกเหล่านี้วางขายในตลาด และได้รับความนิยมมากขึ้นจากผู้บริโภค ข้อมูลจาก The Good Food Institute ระบุว่า ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ยอดจำหน่าย plant-based foods ในสหรัฐ มีอัตราการเติบโต 31% มูลค่าตลาดสูงถึงราว 4.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ข้อมูล ณ ก.ค. 2019) และมีแนวโน้มขยายตัวดีต่อเนื่องในอนาคต ส่งผลให้ผู้ประกอบการเริ่มเบนความสนใจไปพัฒนาสินค้าอาหารและเครื่องดื่มในกลุ่มทดแทนจากพืชกันมากขึ้น เช่น Hershey เพิ่งวางตลาดสินค้าเนื้อแห้งสำหรับทานเล่นผลิตด้วยวัตถุดิบทดแทน

 

จากพืชภายใต้แบรนด์ “Krave” หรือ “Kroger” ซึ่งเป็นผู้ค้าปลีกรายใหญ่ในสหรัฐ เข้าสู่ตลาดนี้แล้วเช่นกันโดยเพิ่งเปิดตัวแบรนด์สินค้า“Simple Truth Emerge” จำหน่ายอาหารทดแทนเนื้อสัตว์ที่ทำจากถั่วเมื่อต้นปีที่ผ่านมา รวมทั้งมีแผนจะวางจำหน่ายสินค้าภายใต้แบรนด์ดังกล่าวอีกราว 50 รายการ ภายในปีนี้ สอดคล้องกับข้อมูลของ Barclays ที่ระบุว่า ตลาด alternative meats ทั่วโลกจะมีมูลค่าตลาดสูงถึงกว่า 1.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในช่วงทศวรรษหน้า


Advertising